เจ้าของ ‘แชทจีพีที’ ออกระบบตรวจจับใช้ ‘เอไอ’ ทำการบ้าน

เจ้าของ ‘แชทจีพีที’ ออกระบบตรวจจับใช้ ‘เอไอ’ ทำการบ้าน

บริษัทโอเพ่น เอไอ (OpenAI) ผู้ผลิตโปรแกรมแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ แชทจีพีที (ChatGPT) เปิดตัวเครื่องมือช่วยครูอาจารย์ตรวจจับชิ้นงานที่พึ่งพาระบบปัญญาประดิษฐ์ หลังจากโปรแกรมดังกล่าวตกเป็นเป้าโจมตีว่าสิ่งนี้อาจเป็นเครื่องมือในการโกงข้อสอบในงานเขียนของนักเรียนและนักศึกษา

ระบบดังกล่าวมีชื่อว่า AI Text Classifier ได้รับการเปิดตัวในวันอังคาร หลังจากผ่านพ้นหลายสัปดาห์ในการหารือกับสถานศึกษาเกี่ยวกับความกังวลว่าศักยภาพของแชทจีพีทีในการเขียนที่คล้ายกับมนุษย์จะทำให้เกิดการทุจริตในการสอบและกระทบต่อการเรียนรู้ แต่ทางโอเพ่น เอไอ ระบุว่าระบบดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์นัก และยังต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของครูผู้สอนด้วย

เทคโนโลยี

ครูอาจารย์และนักศึกษาเป็นหนึ่งในผู้คนนับล้านที่สัมผัสประสบการณ์การใช้โปรแกรมแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ แชทจีพีที ที่เปิดตัวเมื่อ 30 พฤศจิกายน ซึ่งหลายคนทึ่งกับศักยภาพและความสร้างสรรค์ของมัน แต่ได้สร้างความกังวลต่อนักการศึกษาหากมีการนำไปใช้ในการที่ผิด

จนเมื่อต้นปีนี้ มหานครนิวยอร์ก นครลอสแอนเจลิส นครซีแอตเติล และเขตพื้นที่การศึกษาใหญ่หลายแห่งในอเมริกา เริ่มห้ามใช้ระบบดังกล่าวในห้องเรียนและกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของสถานศึกษา

แนะนำข่าวเทคโนโลยีเพิ่มเติม : ‘สหรัฐฯ’ หวั่น ‘จีน’ แซงหน้าด้านเทคโนโลยี

‘สหรัฐฯ’ หวั่น ‘จีน’ แซงหน้าด้านเทคโนโลยี

‘สหรัฐฯ’ หวั่น ‘จีน’ แซงหน้าด้านเทคโนโลยี

เทคโนโลยี

ผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ แสดงความกังวลถึงบทบาทของจีนที่จ่อเบียดแซงสหรัฐฯ ในด้านเทคโนโลยีสำคัญหลายด้าน

ช่วงกลางเดือนกันยายน ในการประชุมของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงผู้บริหารจากภาคเอกชน ณ กรุงวอชิงตัน ในประเด็นความกังวลที่ประเทศสหรัฐฯ เริ่มที่จะตามหลังจีนในด้านพัฒนาเทคโนโลยีหลักหลายอย่าง สะท้อนถึงอนาคตที่ไม่สดใสในวงการไอทีของสหรัฐฯ และอาจเปิดโอกาสให้ประเทศอื่น ๆ ก้าวขึ้นมาท้าทายอเมริกาในด้านพัฒนาการสื่อสารสมัยใหม่ และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยโครงการ Special Competitive Studies Project หรือ SCSP ซึ่งเป็นความพยายามของ เอริก ชมิดต์ อดีต CEO ของบริษัท Google ที่มีเป้าหมาย “เพื่อทำให้อเมริกายังคงเป็นผู้นำด้านการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ไปจนถึงปี 2030 อันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการกำหนดอนาคตประเทศในอุตสาหกรรมนี้”